10 รถยนต์ประหยัดน้ำมัน ที่ไม่ควรพลาดในปี 2024
รถยนต์ประหยัดน้ำมันดีไซน์โฉบเฉี่ยวด้วยการตกแต่งสไตล์แรลลี่อาร์ท ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว Auto Stop & Go 1.2 ลิตร 1,193 ซีซี ให้กำลัง 78 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 100 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ INVECS III CVT พร้อมระบบ INC และ G-Sensor ระบบบังคับเลี้ยวแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมระบบเพาเวอร์ควบคุมไฟฟ้า ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยระบบเบรกที่ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน ส่วนเบรกด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรก และยังมีระบบกันสะเทือนทั้งด้านหน้า ด้านหลังอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นรถยนต์ประหยัดน้ำมันที่มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 23.3 กิโลเมตร / ลิตร
2. BMW 330e M Sport
รถยนต์ประหยัดน้ำมันทรงสปอร์ตที่มีความหรูหรา ดูหล่อและแรง ที่สำคัญยังเป็นระบบ Hybrid ที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ โฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้าแบบ Full LED ที่มีอยู่สองโคมและไฟตัดหมอกแบบ LED ที่สามารถปรับระดับไฟสูงแบบอัตโนมัติ ส่วนไฟด้านหลังเป็น LED แบบทรงตัว L ภายในตกแต่งด้วยวัสดุที่เป็นหนังและอะลูมิเนียมลายเป็นหลัก พร้อมฟังก์ชันการใช้งานแบบทัชสกรีน ในส่วนของเครื่องยนต์ยังจัดเต็มด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ มีพละกำลัง 135 กิโลวัตต์/ 184 แรงม้า ที่ 5,000 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,350 4,000 รอบต่อนาที ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 83 กิโลวัตต์ / 113 แรงม้า แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 265 นิวตันเมตร ช่วยให้การขับขี่สามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และหากขับขี่ด้วยโหมด Hybrid ก็จะสามารถประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 14 18 กิโลเมตร / ลิตร โดยเฉลี่ย
3. Honda City 1.0 Turbo
สำหรับ Honda City ถือเป็นรถยนต์ประหยัดน้ำมันอีกหนึ่งรุ่นที่หลายคนเลือกขับขี่ เพราะมาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบที่มีความเร็วต้นและแรงเหยียบติดมากแบบสั่งได้ ทำให้ขับสนุก เหมาะกับการขับขี่ในเมือง แต่ระยะทางไกลก็สามารถขับขี่ไปได้เช่นเดียวกัน ภายนอกยังมีดีไซน์ที่ล้ำสมัย โฉบเฉี่ยวตามแบบฉบับ Honda นอกจากนี้ภายในยังสามารถบรรทุกสัมภาระได้เยอะขึ้นโดยการพับเก็บเบาะทั้งแนวตั้งและแนวนอน ที่สำคัญ Hond City 1.0 Turbo ยังมีเทคโนโลยี Adaptive Cruise Control และ Honda Sensing ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ และยังประหยัดน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 20 กิโลเมตร / ลิตร เลยทีเดียว
4. Susuki Swift
สำหรับ Suzuki Swift รถยนต์คันเล็กที่สาย Eco Car เลือกใช้ ด้วยความโดดเด่นของการประหยัดน้ำมัน รวมถึงดีไซน์ภายนอกที่ดูโดดเด่นจากความคลาสสิกถูกใจสายวินเทจ รวมถึงเทคโนโลยีอย่างไฟแบบ LED Projector ที่สามารถปรับระดับสูง ต่ำ พร้อมหลอดไฟ LED แบบ Day Time Running และในส่วนของไฟท้ายยังมีดีไซน์ใหม่เป็นแบบ LED ในด้านของขุมพลัง Suzuki Swift ยังมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี Duajet และแพลตฟอร์ม HEARTECT ที่ให้กำลังสูงสุด 83 แรงม้า เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันและเหมาะกับการขับขี่ในเมืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะ Suzuki Swift เป็นรถยนต์ประหยัดน้ำมันที่มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 23 กิโลเมตร / ลิตร
5. Honda HR-V e:HEV
Honda HR-V e:HEV นับเป็นรถยนต์ประหยัดน้ำมันอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจ เพราะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนฟลูไฮบริด ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Atkison Cycle กำลังสูงสุด 105 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 127 นิวตันเมตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 2 ตัว ที่มีพละกำลังสูงสุด 131 แรงม้า แรงบิดอยู่ที่ 253 นิวตันเมตร จึงทำให้รถยนต์ Honda HR-V e:HEV เป็นรถยนต์เครื่อง 1.5 ที่ประหยัดน้ำมันที่สุด และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารยังมีขนาดที่กว้างขวาง สะดวกสบายและเก็บสัมภาระได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Honda Sensing อีกด้วย โดยอัตราการประหยัดน้ำมันของรถรุ่นนี้อยู่ที่ 25.6 กิโลเมตร/ลิตร
6. Toyota Corolla Cross Hybrid
เป็นรถยนต์เครื่อง 1.8 ที่มีดีไซน์ภายนอกดูโฉบเฉี่ยว แข็งแกร่ง มาพร้อมขุมกำลังของเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร ซึ่งเป็นระบบไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุดในเจเนอเรชัน 4 ที่ได้รับการพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทนทานและประหยัดน้ำมันมากขึ้น โดย Toyota Corolla Cross Hybrid ยังเป็นรถยนต์ประหยัดน้ำมันที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า เกียร์ E-CVT และแบตเตอรี่นิกเกิลเมทัลไฮดรายที่ให้กำลังรวมสูงถึง 122 แรงม้า และอีกหนึ่งจุดเด่นของรถยนต์ประหยัดน้ำมันรุ่นนี้ก็คือ พื้นที่ด้านหลังที่กว้างสามารถเก็บสัมภาระได้เยอะถึง 487 ลิตร ที่สำคัญยังเป็นรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันอีกด้วย โดยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันของรถรุ่นนี้อยู่ที่ 23.3 กิโลเมตร / ลิตร
7. Mazda 2
อีกหนึ่งรถยนต์ประหยัดน้ำมันดีไซน์โดดเด่น ดูหรูหรา มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟทั้งรุ่นรถที่เป็นเบนซินและดีเซล โดย Mazda 2 นั้นมีให้เลือกทั้งแบบรถเก๋งซีดานและแฮชแบ็ค ที่มีระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง หรือ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะมาสด้าที่ช่วยควบคุมการขับขี่ได้อย่างแม่นยำและสมดุลในทุกๆ รุ่น ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง รวมถึงการเพิ่มเติมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่ให้ความสะดวกสบายในการใช้งานมากกว่ารถในระดับเดียวกันโดยรถยนต์ Mazda 2 มีอัตราสิ้นเปลืองแบ่งตามประเภทเครื่องยนต์ ได้แก่
เครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร (Skyactive G) มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 23.3 กิโลเมตร / ลิตร
เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร (Skyactive D) มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 26.3 กิโลเมตร / ลิตร
8. Haval Jolion Hybrid
เป็นรถยนต์ที่จัดอยู่ในกลุ่มรถ SUV ที่ได้รับความนิยมในตลาดปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นรถยนต์ประหยัดน้ำมันที่มีดีไซน์ภายนอกที่ดูดี ทั้งไฟหน้า LED ที่มาพร้อม DayTime Running Light ด้วยดีไซน์ล้ำสมัย โฉบเฉี่ยว พร้อมระบบ Welcome Light เมื่อปลดล็อก และระบบ Follow Me Home ไฟส่องสว่างหลังจากดับเครื่องยนต์ ในส่วนของไฟหลังก็เป็น LED นอกจากนี้ ยังมีกระจังหน้ารถแบบ Star Matrix ดีไซน์ล้ำสมัยภายใต้แนวคิด Future Intelligent Cockpit ที่ให้ความรู้สึกกว้างขวาง รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ที่คอยอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตและการขับขี่ ในส่วนของตัวรถนั้นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 1.5L พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 190 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 375 นิวตันเมตร ระบบเกียร์เป็นแบบ DHT ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลายสำหรับรถยนต์ไฮบริด ทำให้ Haval Jolion Hybrid เป็นอีกหนึ่งรถยนต์ประหยัดน้ำมันที่มีการขับเคลื่อนที่มีพลังและประหยัดน้ำมันไปในตัว ซึ่งอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของ Haval Jolion Hybrid เฉลี่ยอยู่ที่ 23.8 กิโลเมตร / ลิตร
9. Volvo XC60 T8
อีกหนึ่งรถยนต์ไฮบริดที่เป็นรถยนต์ประหยัดน้ำมัน ด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบชาร์จ Drive E 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,969 ซีซี โดยตัวเครื่องยนต์ให้กำลัง 320 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 87 แรงม้า รวมกำลังสูงสุดได้ถึง 407 แรงม้าเลยทีเดียว ขับขี่สนุกขึ้นด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Geartronic พร้อมระบบ Plug-in Hybrid แบตเตอรี่เป็นแบบ Lithium-ion 18.8 kWh ซึ่งรถสามารถวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ถึง 88.7 กิโลเมตร/ชาร์จ (มาตรฐาน NEDC) โดยชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 ถึง 100 ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น นอกจากเรื่องขุมพลังแล้ว ตัวรถยังมีดีไซน์ทั้งภายในและภายนอกที่ดูหรูหรา รวมถึงเทคโนโลยีในด้านสมรรถนะเพื่อช่วยให้การขับขี่ดีขึ้น โดยอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของ Volvo XC60 T8 อยู่ที่ 22.40 กิโลเมตร / ลิตร
10. Nissan Almera
รถเก๋งซีดานที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุดอีกหนึ่งรุ่น ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 และออปชั่นความปลอดภัยแบบจัดเต็ม ทั้งเซนเซอร์รอบคัน กล้องมองหลังแบบ 360 องศา (BSM) เหมาะอย่างยิ่งกับมือใหม่หัดขับ หรือคนที่ยังขับรถไม่แข็ง เพราะระบบช่วยเหลือในเรื่องของการขับขี่ที่ครบครันและใช้งานง่าย พร้อมห้องโดยสารที่ดูเรียบหรู นั่งสบาย โดดเด่นด้วยมาตรวัดแบบเรืองแสง Fine Vision Meter แบบ Digital หน้าจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว ที่สำคัญ Nissan Almera ยังมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 23.3 กิโลเมตร / ลิตร เรียกได้ว่าเป็นรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากๆ อีกหนึ่งคันเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้คือรถยนต์ประหยัดน้ำมันทั้ง 10 รุ่น ที่เรานำมาฝากให้กับคนที่กำลังมองหารถยนต์ประหยัดน้ำมันใช้อยู่ ซึ่งมีทั้งแบบซีดานและแฮชแบ็คให้เลือกดู รับรองว่าสเปกของรถยนต์ประหยัดน้ำมันแต่ละคันที่ให้มา จะช่วยคุณเซฟเงินในกระเป๋าได้มากเลยทีเดียว